31 มี.ค. 2565 1,308 8

ตลาด 5G ไทยยังปัง!! “ZTE“ จับมือ VSTECS และ YAS บุกไทยด้วยสมาร์ทโฟนครอบคลุมทุกตลาด เปิดตัว 5 สมาร์ทโฟนใหม่ ประเดิมกลุ่มผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟนและตลาดระดับกลาง

ตลาด 5G ไทยยังปัง!! “ZTE“ จับมือ VSTECS และ YAS บุกไทยด้วยสมาร์ทโฟนครอบคลุมทุกตลาด เปิดตัว 5 สมาร์ทโฟนใหม่ ประเดิมกลุ่มผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟนและตลาดระดับกลาง

แซดทีอี คอร์ปอเรชัน (ZTE) ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลก ด้านโซลูชั่นการสื่อสารและข้อมูลแบบบูรณาการ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชั่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมแก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม รัฐบาล และลูกค้าองค์กรในกว่า 160 ประเทศ ล่าสุดตั้งสำนักงานและทีมงาน ZTE ในประเทศไทย ประกาศนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ ZTE เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะ 5G ในสมาร์ทโฟน ZTE สู่ผู้บริโภคในประเทศไทยครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า  ผนึกกำลัง 2 ผู้จัดจำหน่ายชั้นนำ ทั้งบริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด VSTECS และ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด จากกลุ่ม เบญจจินดา YAS ร่วมกันกระจายสมาร์ทโฟน ZTE ครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 5% ภายใน 3 ปีจากนี้ ด้วยสมาร์ทโฟนทั้งจาก ZTE นูเบีย (Nubia) และ Redmagic พร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ 5 รุ่น ZTE Blade A31plus, ZTE Blade A51, ZTE Blade V30 Vita, Axon 30 5G และ Redmagic 7 ราคาเริ่มต้นเพียง 2,599 บาท 





มร.ชอว์น เผย์ ผู้จัดการทั่วไป โทรศัพท์มือถือประจำประเทศไทย แซดทีอี คอร์ปอเรชัน เปิดเผยว่าในปี 2564 ที่ผ่านมา ธุรกิจเพื่อผู้บริโภค (Consumer Business) ของบริษัทฯ ทั้งโลก ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 กิจการหลัก นอกจากธุรกิจเกี่ยวกับผู้ให้บริการเครือข่าย (Operator Network) และธุรกิจเพื่อองค์กรรวมทั้งภาครัฐ เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 60% และทำรายได้จากการส่งผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศเติบโตได้เพิ่มขึ้นมากถึง 50% เพื่อการขยายตัวทางธุรกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีนโยบายขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ ZTE มองเห็นโอกาสและศักยภาพสำหรับสมาร์ทโฟนที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันแบบนิวนอร์มอล





“ประเทศไทยเป็นตลาดที่น่าสนใจและ ZTE ให้ความสำคัญกับการเข้ามาเปิดตลาดในครั้งนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้งานสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะที่การสั่งซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนได้ชัดเจนจากจำนวนผู้ใช้งานอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่เติบโตเฉลี่ย 15% ทุกปี และสัดส่วนผู้ใช้งานซื้อของออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือมีมากถึง 70% ประกอบกับการที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยต่างจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคสนใจใช้บริการบนเครือข่าย 5G จึงทำให้สมาร์ทโฟน 5G คุณภาพดี ในราคาที่เอื้อมถึงง่ายเป็นที่ต้องการในขณะนี้ ทั้งกลุ่มผู้เริ่มใช้สมาร์ทโฟนก็เป็นเซ็กเมนต์ที่ยังมีความต้องการอยู่มาก เนื่องจากสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่มีอยู่ในตลาดยังขาดผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ” มร.ชอว์นกล่าว



ทิศทางในการดำเนินธุรกิจของสมาร์ทโฟน ZTE ในประเทศไทยมาพร้อมกับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่จะผนึกกำลังกับแบรนด์สมาร์ทโฟนของบริษัทในเครือ ทั้ง ZTE นูเบีย (Nubia) และ Redmagic รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในอีโตซิสเต็มของ ZTE เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่หลากหลาย พร้อมแผนการตลาดที่มีกลยุทธ์เพื่อสร้างแบรนด์ผ่านการสื่อสารการตลาดและการประชาสัมพันธ์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้ ZTE ยังให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายและช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งจะใช้การบริหารช่องทางแบบ Omni-Channel โดยได้เป็นพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายชั้นนำ 2 ราย คือ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด ในกลุ่ม เบญจจินดา ให้ร่วมกันช่วยกระจายสมาร์ทโฟน ZTE ครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ ทั้งนี้ ZTE ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน 2% ในปี 2565 นี้ และจะเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3 ปีจากนี้





สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า วีเอสที อีซีเอส ดำเนินธุรกิจเป็น “ดิสทริบิวเตอร์” สินค้าและโซลูชันไอทีชั้นนำของไทยมายาวนานกว่า 30 ปี โดยหนึ่งในสินค้าที่เราโฟกัส คือ กลุ่มโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่ให้ความคุ้มค่าสูง สำหรับการจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนให้กับ ZTE ทาง วีเอสที อีซีเอสจะดูแลรับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวันตก กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจัดจำหน่ายผ่านทั้งช่องทางหน้าร้านดีลเลอร์และช่องทางออนไลน์ในพื้นที่ดังกล่าว ปัจจุบันบริษัทฯ มีดีลเลอร์ที่เป็นพันธมิตรในพื้นที่รับผิดชอบกว่า 7,000 ราย กลยุทธ์ของบริษัทฯ คือให้ความสำคัญกับการสร้างทีมงานที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้โฟกัสการเติบโตของธุรกิจสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ รวมถึงสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า และพยายามพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง


ปภาพรต ภู่ประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายเอ เซลส์ แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ YAS ในกลุ่มเบญจจินดา กล่าวว่า YAS ดำเนินธุรกิจเป็น “ดิสทริบิวเตอร์” กลุ่มโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน เป็นผู้จัดจำหน่ายทีมีประสบการณ์ยาวนานและครอบคลุมทุกช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศ  ที่สำคัญมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่สอดคล้องกับการบุกตลาดของ ZTE ในประเทศไทย YAS ได้รับการแต่งตั้งให้จัดจำหน่ายและจัดส่งสมาร์ทโฟนให้กับ ZTE ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และปริมณฑล รับผิดชอบทั้งการจัดจำหน่ายให้กับหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือและช่องทางออนไลน์ในพื้นที่ดังกล่าว รวมจำนวนพันธมิตรช่องทางจัดจำหน่ายในพื้นที่ดังกล่าวกว่า 3,500 ราย  ด้วยความพร้อมของระบบการจัดการที่ได้มาตราฐานและทันสมัย ทีมงานที่มีคุณภาพและประสบการณ์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรในพื้นที่  ประกอบกับตลาดยังขาดสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นที่มีคุณภาพ จึงเชื่อมั่นว่าจะสมาร์ทโฟนจาก ZTE จะได้รับการตอบรับจากตลาด โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน 5G และสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น 



แซดทีอี คอร์ปอเรชัน มีความเชี่ยวชาญรวมทั้งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและสร้างการเปลี่ยนแปลง 5G ของโลก ซึ่งเป็นการวางรากฐาน สู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในภาพรวมของประเทศและโลก ในขณะที่อุปกรณ์ใช้งานบนเครือข่ายดังกล่าวอย่างสมาร์ทโฟนนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและเชื่อมต่อโลกออนไลน์เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2541 ที่ได้เริ่มก่อตั้งทีมวิจัยและพัฒนาโทรศัพท์มือถือ ZTE จนถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์เพื่อทำให้สามารถเชื่อมต่อและไว้วางใจได้ทุกที่ และภารกิจเพื่อเชื่อมต่อโลกด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่ออนาคตที่ดีดว่า ให้ผู้ใช้ทั่วโลกสนุกไปกับการสื่อสารรอบด้าน ทั้งเสียง ข้อมูล มัลติมีเดีย และบรอดแบนด์ไร้สาย




พร้อมกันนี้ ZTE ได้เปิดตัว 5 สมาร์ทโฟน ใหม่ล่าสุด 



1. ZTE Blade A31 Plus จอใหญ่ขนาด 6 นิ้ว กล้องหลัก 8MP AI พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 5MP แบตเตอรี่ 3000mAh รองรับการชาร์จ 10W รองรับ Google Assistant 2 ซิม (Nano SIM) 4GLT หน่วยความจำภายใน RAM 2GB ROM 32 GB ราคา 2,599 บาท

2. ZTE Blade A51 จอใหญ่ขนาด 6.5 นิ้ว HD+ กล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 13MP + 2MP พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 5MP แบตเตอรี่ 3200mAh รองรับการชาร์จ 10W รองรับ Google Assistant 2 ซิม (Nano SIM) 4GLT หน่วยความจำภายใน Ram 3GB ROM 64 GB ราคา 3,699 บาท

3. ZTE Blade v30vita จอใหญ่ขนาด 6.75 นิ้ว 90Hz ความละเอียด HD+ จอหยดน้ำ กล้องหลัง 2 ตัว ความละเอียด 48MP + 2MP AI พร้อม LED แฟลช กล้องหน้า 8MP แบตเตอรี่ 6000 mAh รองรับการชาร์จ 22.5W ชาร์จไว รองรับ Google Assistant 2 ซิม (Nano SIM) 4GLT รุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 4GB RAM 64 GB ราคา 4,999 บาท และรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 4GB RAM 128 GB ราคา 5,299 บาท


4. Axon 30 5G จอใหญ่ขนาด 6.92 นิ้ว FHD+ AMOLED ชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon 870 ระบบปฏิบัติการ ZTE MyOS11 บน Android 11 กล้องหลัง 4 ตัว ความละเอียด 64MP + 8 MP + 5MP + 2MP พร้อมแฟลช กล้องหน้า 16MP แบตเตอรี่ 4200 mAh รองรับการชาร์จไว 55W 2 ซิม (Nano SIM) 5G ซึ่งคาดว่าจะนำมาจำหน่ายทั้งรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 8GB RAM 128 GB และรุ่นหน่วยความจำภายใน ROM 12GB RAM 256 GB ราคาประมาณ 12,990 บาท และ 17,990 บาท ตามลำดับ

5. Redmagic 7 จอใหญ่ขนาด 6.8 นิ้ว  มีความเร็วในการเปลี่ยนภาพของหน้าจอถึง 165Hz พร้อมความเร็วในการตอบสนองต่อการกดของหน้าจอที่ 720 Hz ชิปเซ็ต Qualcomm® Snapdragon 8 Gen 1 และมีระบบระบายความร้อนตัวเครื่อง แบตเตอรี่ขนาด 4500 mAh รองรับการชาร์จเร็ว 65W 2 ซิม (Nano SIM) ที่เหมาะกับสายเกมเมอร์ มี 3 รุ่น คือ รุ่น SUPERNOVA หน่วยความจำภายใน ROM 18GB RAM 256GB รุ่น PULSAR  หน่วยความจำภายใน ROM 16GB RAM 256GB และรุ่น OBSIDIAN หน่วยความจำภายใน ROM 12GB RAM 128GB มาจำหน่าย ราคาประมาณ 31,990 บาท 28,990 บาท และ 24,990 บาท ตามลำดับ


ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสมาร์ทโฟน ZTE: http://ztedevices.com/